2553-12-21

สูตรกาแฟโบราณ(ร้อน)

การแฟโบราณนั้นเป็นกาแฟ ที่นิยมดื่มกันมานาน เป็นการชงง่ายๆส่วนผสมมีไม่กี่อย่าง แต่มีเสน่ห์ เพราะเป็นเมนูดั้งเดิม ที่นับวันจะหาดื่มกันได้ยากขึ้นเรื่อยๆเพราะ มีเมนูกาแฟสมัยใหม่เข้ามาแทนที่
การชงกาแฟโบราณนั้นจะว่ายากก็ยาก จะว่าง่ายก็ง่ายเพราะต้องอาศัยประสบการณ์ในการชง สมัยก่อนไม่มีเครื่องชั่งตวง วัดที่แน่นอนต้องอาศัยการคาดคะเนที่แม่นยำเพื่อให้ได้รสชาติที่ดี กลมกล่อมอร่อยเหมือนกันทุกๆถ้วย วันนี้มีสูตรการแฟโบราณ(ร้อน) มาให้ลองทำดูครับ
กาแฟโบราณ
ส่วนผสม
กาแฟโบราณผสมสูตรพิเศษ 1 ทัพพี (3 ช้อนโต๊ะ)
น้ำร้อน 1 กระบวย (6 ออนซ์)
นมข้นหวาน 1 ออนซ์(3 ช้อนชาพูน)
ฟองนมสด 1 ออนซ์


วิธีทำ
1. ตักกาแฟโบราณลงในถุงชง จากนั้นเติมน้ำร้อนลงไปกรองไปมา 4 ครั้ง หรือมากกว่านั้นก็ได้
2. เทน้ำกาแฟ 2 ออนซ์ ลงในแก้ว
3. เติมนมข้นหวาน
4.ปิดหน้าด้วยฟองนม


***กาแฟโบราณผสมสูตรพิเศษ
การแฟตรางูเห่า สูตร2 400 กรัม+ การแฟสด สูตร medium 200 กรัม

2553-12-13

การบดกาแฟ

การนำเมล็ดกาแฟที่คั่วเสร็จแล้วไปทำให้ละเอียดจนกลายเป็นผงกาแฟนั้น ขั้นตอนนี้เรียกว่าการบดกาแฟ เวลาบดกาแฟจะเกิดกลิ่นหอมเข้มข้นของน้ำมันหอมระเหยที่อยู่ในกาแฟ ดัง นั้นเมื่อบคเสร็จแล้วนำกาแฟไปชงทันที กาแฟที่ขงได้ก็จะมีกลิ่นหอมเต็มที่แล้วควรจะบดผงกาแฟอย่างไร ควรจะบดให้หยาบหรือละเอียด จริงๆ แล้ว ความหยาบละเอียดของผงกาแฟจะแตกต่างกันไปตามวิธีการชงกาแฟ ระยะเวลาในการสกัด(ชง)ยิ่งสั้น ผงกาแฟที่บดต้องยิ่งละเอียด ระยะเวลาในการสกัด(ชง)ยิ่งนาน ยิงต้องบดผงกาแฟให้หยาบมากขึ้น
การบดกาแฟ

วิธีการบดเมล็ดซึ่งแบ่งตามความหยาบละเอียดได้เป็น 4 แบบคือ

บดหยาบ บดกลาง บดละเอียด และบดละเอียดมาก วิธีการขงกาแฟที่เเตกต่างกันก็จะต้องใช้วิธีการบดที่แตกต่างกันไปด้วย


1.บดหยาบ: ให้กับการชงแบบหยด เช่น เครื่องชงกาแฟสไตล์ อเมริกัน
2.บดกลาง : ใช้กับการชงด้วยกระดาษกรอง ตัวทำกาแฟแบบไซฟอน ตัวทำกาแฟแบบเฟรนช์เพรส
3.บดละเอียด: ให้กับการขงกาแฟแบบกลั่น เช่น โมค่าพอตเครื่องชงไอซ์ดริปคอฟฟี่
4.บดละเอียดมาก: ใช้กับการชงที่ให้แรงดัน เช่น เครื่องชง กาแฟเอสเพรสโซ่สไตล์อิตาลี

ถ้าอยากชงกาแฟให้ดีสักถ้วย ความหยาบละเอียดกาแฟเป็นสิ่งที่สำคัญมาก เนื่องจากการสกัดสารละลายในผงกาแฟออกมามีระยะเวลาที่เหมาะสมของมันเอง ถ้าผงกาแฟละเอียดมากและใช้เวลาในการสกัดนาน ก็จะทำให้สารละลายที่มีรสชาติไม่พึงประสงค์ออกมามากเกินไป
จะค่อนข้างขม เข้มข้นแล้วความหอมก็จะหายไปด้วย แต่ในทางกลับกัน หากผงกาแฟหยาบมากและใช้เวลาสกัดนานเกินไป การสกัดสารละลายที่มีรสชาติดีก็จะทำได้ไม่เพียงพอ
กาแฟจะจืดและไม่มีรสชาติ

ดังนั้นถ้าอยากปรับความเข้มข้นหรือความจืดของกาแฟให้เหมาะสม เวลาชงกาแฟก็ควรใช้วิธีเพิ่มหรือลดปริมาณหรือไม่ก็เพิ่มหรือลดผงกาแฟ ซึ่งจะเหมาะกว่าการเปลี่ยนระดับความหยาบละเอียดของผงกาแฟนอกจากนี้ เนื่องจากผงกาแฟที่บดเสร็จแล้วจะดูดความชื้นในอากาศได้เร็ว ดังนั้นการเก็บรักษาผงกาแฟจึงเป็นเรื่องสำคัญมาก ข้อแนะนำทั่วๆ ไปก็คือ ทางที่ดีควรจะบดกาแฟ
เมื่อต้องการชง แต่หากบดไว้แล้วก็ต้องเก็บผงกาแฟไว้ในภาชนะที่ปิดไว้อย่างมิดชิด และควรจะใช้ให้หมดภายใน 1 สัปดาห์ไม่เช่นนั้นอาจจะมีผลต่อกลิ่นหอมและรสชาติของกาแฟ ได้

**ข้อควรระวังในการบดเมล็ดกาแฟ**
ต้องลดความร้อนในการบด เวลาบดกาแฟ หากเกิดความร้อนในการบด จะทำให้กลิ่นหอม
ของกาแฟกระจายออกมาเร็วเกินไป และมีผลต่อรสชาติในการปรุงกาแฟ
ขนาดของผงกาแฟต้องเท่ากัน ถ้าขนาดไม่เท่ากันจะทำให้คำนวณระยะเวลาในการชงที่
แน่นอนไม่ได้ช่วงเวลาที่เหมาะที่สุดสำหรับการบดกาแฟคือ ก่อนชงกาแฟ เนื่องจากผงกาแฟที่บดเสร็จ
แล้วจะมีพื้นผิวที่สัมผัสกับอากาศมากกว่าเวลาที่เป็นเมล็ดกาแฟ และเมื่อมีพื้นที่มาก การเกิด
ออกซิเดชั่น (oxidation) ก็จะยิ่งเกิดขึ้นได้เร็วเมื่อผงกาแฟเกิดการออกซิเดชั่น จะทำห้กลิ่น
หอมหายไป ถ้าไม่เก็บรักษาให้ดี ผงกาแฟก็จะเปลี่ยนรสชาติได้งาย และไม่สามารถชงกาแฟที่
มีกลิ่นหอมเข้มข้นได้


ในเมล็ดกาแฟมีน้ำมันอยู่ด้วย ในขั้นตอนการบดอาจจะมีคราบน้ำมันติดอยู่บนเครื่องบด
ได้ง่าย ดังนั้นหลังจากบดเสร็จแล้ว จะต้องทำความสะอาดเครื่องบดเมล็ด มิฉะนั้นหากทิ้ง
ใว้นานเกินไป น้ำมันก็จะยิ่งมากขึ้น ทำให้เกิดกลิ่นเหม็นหืน โดยเฉพาะเมล็ดเกรดสูง หากนำ
มาบดโดยใช้เครื่องบดเมล็ดที่ไม่สะอาดก็จะมีกลิ่นเหม็นหืน และส่งผลต่อกลิ่นและรสชาติของ
กาแฟ ด้วย

ที่มา หนังสือ คู่มือการเปิดร้านกาแฟฉบับสมบรูณ์

2553-12-07

การหาข่าวสารข้อมูลในการเปิดร้านกาแฟ

coffee
การเปิดร้านกาแฟไม่ได้ง่ายเหมือนกับการขายของแผงลอยในตลาดสดไม่ใช่ว่าเพียงแค่ มีสินค้าดีๆ หรือทำเลดีๆ ก็เปิดร้านได้แล้ว ยังมีรายละเอียด ต่างๆอีกมากมาย ที่เราอาจจะคาดไม่ถึง ตั้งแต่การวางแผนเรื่องเงินทุน หาที่ตั้งร้าน การจดทะเบียน การตกแต่ง หาแหล่งวัตถุดิบ และยังต้องซื้ออุปกรณ์ต่างๆ ทั้งตู้เย็นขนาดใหญ่ การเลือกเครื่องชงกาแฟ ฯลฯ สิ่งต่างๆเหล่านี้ล้วนต้องวางแผนเตรียมไว้ให้เรียบร้อยก่อนเริ่มงาน
ถ้าไม่มีประสบการณ์ในการทำธุรกิจหรือดูแลเปิดร้านกาแฟมาก่อนก็อย่าเพิ่งตัดสินใจพลันด่วนเลย
ควรศึกษาข้อมูลให้มากและลองฟังประสบการณ์จากคนรุ่นเก่าดูที่เปิดร้านกาแฟ พูดคุยกับคนที่ทำงาน
ด้านกาแฟหรือผู้เชี่ยวชาญในการทำธุรกิจด้านกาแฟ หรืออาจจะใช้บริการการให้คำปรึกษาในการทำธุรกิจที่รัฐบาลจัดเตรียมไว้ให้โดยไม่คิดค่าบริการก็ได้ ทำความเข้าใจขั้นตอนการเปิดกิจการหรือความรู้ที่เกี่ยวข้องที่จำเป็นต้องรู้ รวมไปถึงจุดที่ต้องระมัดระวัง และประเมินดูว่าคุณเหมาะกับการเป็นเจ้าของกิจร้านกาแฟหรือไม่?
ธุรกิจร้านกาแฟนี้เหมาะกับคุณหรือไม่ เพื่อลดโอกาสความผิดพลาดจากการเปิดกิจการด้วยความฮึกเหิมมากเกินไป


ช่องทางการหาข่าวสารข้อมูลในการเปิดร้านกาแฟ

1.สอบถามข้อมูลจากผู้ประกอบการร้านกาแฟ
คุณคงเคยได้ยินคำกล่าวที่ว่า "ถ้าอยากประสบความสำเร็จ ก็ต้องเรียนรู้จากผู้ที่ประสบความสำเร็จ" โดยให้ผู้ที่ประสบความสำเร็จในการเปิดร้านกาแฟเป็นครู ต้องลองหาคำแนะนำจากคนที่คุณคิดว่าประสบความสำเร็จในการเปิดร้านกาแฟ เก็บเกี่ยวหลักสำคัญในการเป็นเจ้าของร้านกาแฟ เรียนรู้ประสบการณ์ที่ทำให้เขาประสบความสำเร็จ เพื่อให้การเปิดร้านกาแฟของคุณ ราบรื่นมากยิ่งขึ้น

2.ศึกษาจากตัวแทนจำหน่ายเมล็ดกาแฟและเครื่องชงกาแฟ
คุณอาจจะได้ทยอยติดต่อกับบริษัทจัดจำหนายบางแห่ง เช่น บริษัทตัวแทนจำหน่ายเมล็ดกาแฟและเครื่องชงกาแฟ เพื่อขอคำแนะนำและความช่วยเหลือจากคนเหล่านั้น รวมไปถึงประสบการณ์ที่พวกเขาเคยเห็นจากการเปิดร้านของหลายๆคน อาจจะช่วยแก้ไขปัญหาและข้อควรระวังบางอย่างในการเปิดร้านกาแฟได้ ผู้ที่มีประสบการณ์มากมาย จะสามารถให้การช่วยเหลือและให้คำแนะนำกับผู้ประกอบการร้านกาแฟได้เป้นอย่างดี
แล้วเราก็นำข้อมูลที่ได้มาวิเคราะห์ข้อดี-ข้อเสียอย่างละเอียด เพื่อให้เข้าใจเสียก่อนว่าการเปิดร้านกาแฟไม่ใช่การหาเงินอย่างง่ายๆหรือสบายๆ และทำให้รู้ว่าตัวเองเหมาะที่จะเปิดร้านกาแฟหรือไม่?

**แต่สิ่งที่ต้องระวังคือ บริษัทเหล่านี้อาจจะอยากทำการค้าจึงอธิบายเพียงข้อมูลด้านดีบางส่วนเพื่อเร่งให้คณรีบเปิดร้านจากนั้นก็ซื้อสินค้าจากพวกเขาโดยที่ยังใม่ได้วิเคราะห์ข้อดีข้อเสียให้ละเอียด ดังนั้นจะต้องระมัดระวังเป็นพิเศษ ต้องสอบถามจากหลายๆ แห่ง และหาข้อมูลจากบริษัทตัวแทนจำหน่ายแต่ละแห่ง และทางที่ดีก็ควรจะถามถึงตัวอย่างความล้มเหลว ด้วย

3.หาที่ปรึกษา้ำในการประกอบการร้านกาแฟ
ที่ปรึกษาด้านการเปิดกิจการสามารถให้คำแนะนำได้อย่างสมบูรณ์ และสามารถหาข้อมูลของตลาดที่อูกต้อง
แม่นยำให้ได้ พวกเขาจะประเมินตั้งแต่ก่อนเปิดร้านไปจนถึงเรื่องทำเลที่ตั้ง รวมทั้งเป็นตัวแทนจัดการเรื่องตางๆ เช่นการจัดตั้งบริษัท การเสียภาษี เป็นต้น เพียงแค่จ่ายเงินก็สามารถทำได้แล้ว เจ้าของกิจการไม่จำเป็นต้องกังวลมาก แต่โดยปกติแล้วจะเรียกเงินไม่น้อยเลยเช่นกัน สำหรับผู้ที่เพิ่งเริ่มทำกิจการนั้นก็นับว่าเป็นต้นทุนที่ไม่น้อยเลยที่เดียวแต่เมื่อที่ปรึกษาช่วยให้คุณเปิดร้านได้สำเร็จแล้ว ก็ยังไม่อาจรับประกันได้วาต่อไปกิจการจะเจริญรุ่งเรือง เงินทองไหลมาเทมา อยู่ที่ว่าที่ปรึกษาทีคุณหาได้นั้น มีความเชี่ยวชาญมากน้อยเพียงใด หรือพวกเขามีข้อมูลที่ละเอียดแม่นยำหรือไม่ สิ่งเหล่านี้ก็อาจส่งผลต่อการดำเนินกิจการได้เช่นกัน

4.หาหน่วยงานบริการของรัฐ
อันนี้เป้นตัวเลือก ที่ถ้าไม่อยากใช้เงินมากเกินไปและมีเพื่อนที่ทำงานด้านนี้อยู่น้อย ก็สามารถไปหาหน่วยงานที่ให้คำปรึกษาเรื่องการเปิดกิจการหรือสมาคมธุรกิจขนาดเล็กทีรัฐบาลจัดตั้งขึ้นได้ โดยหน่วยงานเหล่านี้จะไมคิดค่าใช้จ่ายในการช่วยเหลือ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการเปิดกิจการ การกู้ยืมเงินลงทุน และการให้คำแนะนำ เป็นต้น รวมไปถึงข้อมูลอีคอมเมิร์ซ จัดหาเงินกู้ยืมเพื่อเเก้ไขปัญหา ช่วยเขียนโครงการเพื่อกู้ยืมเงินลงทุน ช่วยดูแนวโน้มในการพัฒนาการการ ท่าทีของตลาดรวมทั้งข่าวสารที่เกี่ยวข้องให้รอบริการการติดต่อระหว่างหน่วยงานเพื่อหาข้อมูลและคำแนะนำ

อย่างไรก็ตาม ประสิทธิภาพการทำงานของหน่วยงานรัฐบาลมักจะถูกประชาชนวิพากษ์วิจารณ์อยู่เป็นประจำเรื่องประสิทธิภาพและความล่าช้า หากมีเวลาเตรียมตัวนานเพื่อให้ได้ผลต่ำก็สามารถติดต่อกับหน่วยงานให้คำปรึกษาในระยะยาวได้ และอาจได้รับข้อมูลและความช่วยเหลือที่ดีมากด้วย หรืออาจจะติดต่อเจ้าของร้านที่ประสบความสำเร็จบางคนโดยผ่านหน่วยงานเหล่านี้เพื่อหาข้อมูล ด้วยก็ได้